ทัวร์เกาะไซปรัส ดินแดนเทพีอะโฟรไดท์
ทัวร์
ยุโรป
ระยะเวลา
9 วัน 6 คืน
สายการบิน
วันเดินทาง
19-27 มีนาคม 2567
Hilight

     โกลบอล ฮอลิเดย์ เปิดเส้นทางใหม่สู่เกาะ 2 แผ่นดิน “เกาะไซปรัส” เป็นเกาะใหญ่ที่โดดเด่นในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศตุรกีและตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศกรีซ มีพื้นที่ทั้งหมด 9,251 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 1.2 ล้านคน เป็นคนเชื้อชาติกรีก 77% และเชื้อสายตุรกี 18% และเชื้อชาติสายอื่นๆ 5% โดยมีเมืองหลวงชื่อ “นิโคเซีย” ปัจจุบันทั้งเกาะไซปรัสและเมืองหลวงนิโคเซียถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ โซนเหนือและโซนใต้ ที่ต่างก็แยกกันปกครองดินแดนของตนเอง โดยมีกองกำลังทหารของสหประชาชาติอยู่ระหว่างกลาง
      ประเทศไซปรัส หรือ สาธารณรัฐไซปรัส เป็นประเทศที่เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไซปรัสกรีกที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ

     สาธารณรัฐตุรกีแห่งนอร์เทิร์นไซปรัส เป็นดินแดนที่ไม่มีการรับรองจากสหประชาชาติว่าเป็นประเทศยกเว้นประเทศตุรกี ตั้งอยู่บนพื้นที่ทางตอนเหนือของไซปรัส โดยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไซปรัสตุรกีได้ประกาศแยกประเทศจากสาธารณรัฐไซปรัสด้วยสาเหตุจากสงครามไซปรัสในปีค.ศ.1974 โดยได้รับรองจากตุรกี ซึ่งทำให้นอร์เทิร์นไซปรัสต้องพึ่งพิงประเทศตุรกีในทุกๆด้าน

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพฯ - ดูไบ
    • 21.30 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 9 Row U โดยสายการบิน EMIRATES โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
  • Day 2
    ดูไบ - ลาร์นากา - ไอยา นาปา
    • 01.05 น. เหินฟ้าสู่ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เที่ยวบิน EK385 BKK-DXB (01.05-05.00)  (ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 55 นาที)

      05.00 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติดูไบ รอเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองลาร์นากา 

      07.35 น. เหินฟ้าสู่ เมืองลาร์นากา ประเทศไซปรัส โดยเที่ยวบิน EK109 DXB-LCA (07.35-10.10)
      (ใช้เวลาบิน 4 ชั่วโมง 35 นาที)

      10.10 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติลาร์นากา เมืองลาร์นากา (Larnaca) ประเทศไซปรัส (Cyprus) หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้ว เชิญพบกับไกด์ท้องถิ่น นำท่านมุ่งหน้าสู่
      บ่าย ออกเดินทางไปยัง เมืองไอยา นาปา (Ayia Napa) เป็นเมืองริมทะเลที่มีชายหาดสวยงามและมีจุดชมวิวที่สวยงามหลายแห่ง เมืองนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะไซปรัส 
      < ลาร์นากา - ไอยา นาปา มีระยะทางราว 50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 60 นาที > 

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      นำท่านแวะชมจุดชมวิว สะพานรัก (Love Bridge) จุดถ่ายภาพวิวทะเลกับบรรยากาศท้องฟ้า
      สีสดใสที่ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้า สามารถเก็บภาพแบบพาโนรามา 360 องศา อิสระให้ท่านได้เพลิด เพลินกับบรรยากาศโดยรอบ
      นำท่านเดินทางต่อไปยังจุดชมวิวที่เป็นแลนด์มาร์คของเกาะนี้ ณ หมู่ถ้ำทางทะเล (Sea Caves) ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก อิสระให้ท่านได้ชมความสวยใสของน้ำทะเลและหมู่ถ้ำที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติจัดสรร พร้อมเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบๆและสัมผัสไอเย็นจากลมทะเลแบบชื่นอุรา 
      หากมาเยือนถึงเกาะไซปรัสต้องไม่พลาดที่จะมาชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ จุดชมวิว บลูลากูน (Blue Lagoon Viewpoint) เป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงและสวยงามแห่งหนึ่งของเกาะไซปรัส อิสระให้ท่านดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเย็นพระอาทิตย์ตกดิน ได้เวลาพอสมควร นำท่านเดินทางกลับไปยังโรงแรมที่พัก

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Lordos Beach Hotel & Spa 4*, Larnaca หรือเทียบเท่า
  • Day 3
    ลาร์นากา - หมู่บ้านเลฟคารา - มรดกโลกซอยโรคอยเทีย - ลีมาซอล
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      คณะเดินทางสู่ เมืองลีมาซอล (Limassol) ตั้งอยู่ทางตอนใต้บริเวณใกล้ชายฝั่งประเทศไซปรัส ตัวเมืองทอดยาวขนานกับชายฝั่งทะเล เป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากเมืองหลวงนิโคเซีย 
      < ลีมาซอล - พาโน เลฟคารา มีระยะทางราว 40 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที >
      ระหว่างทาง นำท่านแวะเที่ยวชม หมู่บ้านเลฟคารา (Lefkara Village) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่น่ารักและมีชื่อ เสียงในด้านการผลิตลูกไม้และงานหัตถกรรมฝีมือ ตามเรื่องเล่าท้องถิ่นกล่าวไว้ว่า เลโอนาร์โด ดา วินชีได้ซื้อผ้าลูกไม้จากหมู่บ้านแห่งนี้ในปีค.ศ.1481ไปวางคลุมแท่นบูชาในมหาวิหารมิลาน ประเทศอิตาลีจึงทำให้ที่นี่เป็นที่รู้จักมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นหมู่บ้านที่มีการอนุรักษ์อาคารบ้านเรือนไว้เป็นอย่างดีและมีร้านกาแฟลุคโบราณให้นั่งดื่มแบบชิลล์ๆ ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกหนึ่งแห่ง
      < พาโน เลฟคารา - ชอยโรคอยเทีย มีระยะทางราว 13 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 20 นาที >
      เดินทางไปชมมรดกโลก หมู่บ้านชอยโรคอยเทีย (Choirokoitia) สถานที่สำคัญทางโบราณคดีเพราะเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคหินใหม่ ช่วงราว 4,000-7,000 ปีก่อนคริสตกาล ที่นี่ถูกขุดค้นพบปรากฏว่าเป็นสังคมเกษตรกรรมและปศุสัตว์ องค์การยูเนสโก้จึงได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1998
      < ชอยโรคอยเทีย - ลีมาซอล มีระยะทางราว 40 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที >
      นำท่านเดินทางต่อไปยัง เมืองลีมาซอล (Limassol) เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศไซปรัส มีประชากรราว 235,000 คน ลีมาซอลเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและเป็นศูนย์กลางการทำธุรกิจระหว่างประเทศในไซปรัส จึงทำให้ลีมาซอลมีมาตรฐานความเป็นสากลมากกว่าเมืองอื่นๆ โครงการพัฒนาปรับปรุงย่านเมืองเก่าและท่าเรือเก่าทำให้การท่องเที่ยวสะดวกสบายและน่าสนใจมากขึ้น ลีมาซอลถูกจัดอันดับโดย Trip Advisor อยู่ในอันดับ 3 ใน 10 จุดหมายปลาย ทางยอดฮิตที่เริ่มเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านเดินทางลัดเลาะขึ้นไปทางทิศเหนือของเมืองลีมาซอล ตามเส้นทางไวน์ Koumandaria Wine Route เพื่อนำท่านไปชมโรงผลิตไวน์และวิธีการบ่มไวน์ซึ่งอุตสาหกรรมพื้นบ้านตามหมู่ บ้านไวน์ที่คนท้องถิ่นเรียกว่า Krassochoria เชิญท่านฟังตำนานแห่งไวน์พร้อมจิบชิมไวน์หวาน (Dessert Wine) ของที่นี่ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกมานานหลายศตวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวน์ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดไวน์เมื่อช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 อย่าง Commandaria Wine มีคำกล่าวกันว่าไซปรัสมีการผลิตไวน์หวานมายาวนานอย่างต่อเนื่องที่เก่าแก่ที่สุดของโลก หากท่านมาถึงไซปรัสแล้วไม่ซื้อไวน์ติดไม้ติดมือกลับไปด้วย แปลว่ายังมาไม่ถึง
      จากนั้นนำท่านเดินทางไปชม ย่านเมืองเก่า (Old Town) แถบบริเวณจัตุรัสซาลิโปลู ถือเป็นจุดพบปะสังสรรค์และศูนย์กลางของเมืองที่มีร้านกาแฟ ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆตั้งเรียงรายอยู่รอบจัตุรัส แล้วนำท่านเดินชม ปราสาทลีมาซอล (Limassol Castle) เป็นปราสาทเก่าทำด้วยหินทรายซึ่งสร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 12 โดยสร้างทับสิ่งปลูกสร้างเก่าที่เป็นโบสถ์คริสต์ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4-7 กาลต่อมาปราสาทแห่งนี้ได้เสียหายหนักครั้งแล้วครั้งเล่าจากการรุกรานของข้าศึกและแผ่นดินไหว ส่วนตัวปราสาทที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเกิดจากการก่อสร้างขึ้นใหม่โดยพวกออตโตมันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่ยังคงยึดการก่อสร้างตามรูปแบบโครงสร้างเดิม ปัจจุบันถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุโบราณต่างๆที่เก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ขุดค้นพบในไซปรัสช่วงยุคกลาง  
      ได้เวลาพอสมควร นำท่านไปยัง ท่าเรือเก่า (Old Habour) เพื่อเตรียมตัวขึ้นเรือ โดยนำท่านล่องเรือชื่นชมบรรยากาศแห่งท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พร้อมดื่มด่ำกับธรรมชาติและเพลิด เพลินไปกับวิวทิวทัศน์โดยรอบอันสวยงามยามพระอาทิตย์ใกล้อัสดง

      เย็น รับประทานอาหารเย็น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Mediterranean Beach Hotel 4*, Limassol หรือเทียบเท่า
  • Day 4
    ลีมาซอล - คัวรีออน - ปาฟอส - ลีมาซอล
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      < ลีมาซอล - คัวรีออน มีระยะทางราว 20 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที >
      ออกเดินทางสู่ เมืองคัวรีออน (Kourion) ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตอนใต้ของไซปรัส เป็นหนึ่งในโบราณสถานเก่าแก่ที่สำคัญของประเทศไซปรัส ปัจจุบันคือเมืองโบราณที่มีซากทางโบราณคดีของชาวกรีกหลงเหลืออยู่อันแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ซึ่งเมืองคัวรีออนได้เจริญ รุ่งเรืองมากในช่วง 1,300 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนจะถูกทิ้งร้างลงในช่วง 1,050 ปีก่อนคริสตกาล ในกาลต่อมาเมืองแห่งนี้ถูกปรับปรุงและสร้างขึ้นใหม่ตามยุคสมัยที่ผันผ่านไป ซากปัจจุบันนั้นหลงเหลือมาจากยุคโรมันเสียส่วนใหญ่ อดีตเมืองคัวรีออนเป็นเมืองเอกโบราณที่สำคัญของเกาะไซปรัส เช่นเดียวกับเมืองโบราณอมาตุส (Amathus) 

      นำท่านเข้าชม อัฒจันทร์โรมันโบราณ (Greco Roman Amphitheatre) โบราณสถานที่มีชื่อเสียงของเมืองคัวรีออน สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อราว 200 ปีก่อนคริสตกาล แล้วมีการขยายเพิ่ม เติมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 2 และในเวลาต่อมาได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวซ้ำอีก อัฒจันทร์นี้สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 3,500 คน เป็นสถานที่สำหรับการแสดงละครของชาวกรีกโรมัน อย่างใดก็ดีช่วงปีค.ศ. 214-217 ที่นี่เคยถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ประลองของเกมนักต่อสู้ ก่อนที่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นโรงละครดั่งเดิมอีกครั้ง ปัจจุบันได้รับการบูรณะรักษาไว้เป็นอย่างดีคงความสวยงามเหนือกาลเวลา  นำชม บ้านพักของอุสโทลิออส (House of Eustolios) แหล่งโบราณคดีที่สำคัญอีกแห่งของเมืองคัวรีออน ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ในมุมกว้างของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 4 ภาพโมเสกที่ปรากฎอยู่ที่หน้ามุขฝั่งตะวันออกของบ้านหลังนี้บ่งบอกว่า เจ้าของบ้านมีชื่อ อุสโทลิออส ซึ่งเป็นผู้สร้างที่นี่ เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชนชาวเมืองคัวรีออนหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในช่วงปีค.ศ. 365 ในเวลานั้น อุสโทลิออสเป็นคริสต์ชนผู้มีศรัทธาต่อพระเยซูคริสต์ จึงได้ตกแต่งบ้านด้วยศิลปะโมเสกที่แสดงถึงความศรัทธาอันแรงกล้าต่อคริสต์ศาสนา อาทิเช่น ภาพผนังและพื้นโมเสกที่ลวดลายสัญลักษณ์ของไม้กางเขนประกอบกับรูปของนกและปลา เป็นต้น  
      เดินทางต่อ นำท่านแวะถ่ายรูปที่ หินแห่งเทพีอะโพรไดท์ (Aphrodite’s Rock) หรือ Petra Tou Romiou บริเวณแนวชายฝั่งทะเล เรียกลักษณะภูมิประเทศนี้ว่าเป็นเกาะหินชะลูด (Stack) หมายถึงเกาะโขดหินขนาดเล็กที่แยกออกจากผืนแผ่นดินใหญ่หรือเกาะที่อยู่ใกล้เคียง เกิดจากส่วนของหินแข็งบริเวณชายฝั่งเดิมที่ยื่นออกไปในทะเลถูกกษัยการจากคลื่นเซาะทั้งสองข้างจนส่วนปลายแหลมตัดออกเป็นเกาะ โดยชายฝั่งพังทะลายถอยร่นเข้าไปในภาคพื้นดินมากยิ่ง ขึ้น ส่วนหินแข็งเหล่านี้ถูกตัดขาดออกจากชาย ฝั่ง เกิดเป็น “เกาะหินชะลูด” ตามรอยตำนานเทพีอะโพรไดท์ หรือ เทพีแห่งความงามและความรักของกรีกโบราณ เล่ากันว่าสถานที่แห่งนี้คือ บ้านเกิดของพระนาง จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม มีตำนานท้องถิ่นกล่าวว่า หากผู้ใดได้ไปว่ายน้ำรอบหินก้อนนี้จะได้รับพรด้วยความงามอันเป็นชั่วนิจนิรันดร์ และชาวบ้านไม่อนุญาตให้ผู้ใดปีนขึ้นไปบนก้อนหินนี้เด็ดขาด 

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย เดินทางสู่ ปาฟอส (Paphos) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไซปรัส เชื่อกันว่าปาฟอสเป็นบ้านเกิดของเทพีอะโฟรไดท์ (Aphrodite) หรือ วีนัส (Venus) เทพีแห่งความงามและความรัก ตามที่กล่าวไว้ในตำนานกรีกโบราณ อีกทั้งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก้ในปีค.ศ.1980 
      เริ่มต้นท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกที่ ท่าเรือปาฟอส (Paphos Harbour) ปัจจุบันเป็นท่าเรือมารีน่าที่ใช้สำหรับจอดเรือเล็กและเรือประมงได้เพียง 300 ลำ ซึ่งที่นั่นจะเป็นที่ตั้งของ ปราสาทปาฟอส (Paphos Castle) เป็นปราสาทเก่าแก่ที่สร้างขึ้นจากป้อมไบแซนไทน์เพื่อป้องกันท่าเรือ ในอดีตปราสาทถูกใช้เป็นคลังสินค้าจำพวกเกลือ หรือแม้แต่เป็นคุกใช้กักขังนักโทษ
      นำท่านชม อุทยานโบราณคดีแห่งปาฟอส (Paphos Archaeological Park) ทำให้ปาฟอสได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ภายในอุทยานดังกล่าวประกอบด้วย สุสานกษัตริย์ (Tombs of the Kings) เป็นสุสานโบราณขนาดใหญ่ที่จัดเป็นส่วนหนึ่งของเมืองปาฟอสซึ่งเป็นมรดกโลกถูกสร้างขึ้นในช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล จากหลักฐานจากการขุดค้นโดยนักโบราณคดี พบว่าโครงกระดูกในแต่ละสุสานที่ขุดพบเป็นของเหล่าขุนนางและสมาชิกชั้นสูงชาวปาฟิติก (Paphitic) ที่เสียชีวิตตั้งแต่ช่วงที่สร้างจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 3 โดยไม่มีหลุมใดเป็นของกษัตริย์แต่อย่างใด ภายในสุสานส่วนใหญ่พบสิ่งของเครื่องใช้ในพิธีงานศพ รวมทั้งของมีค่าในหลุมศพ ได้ถูกขุดและขโมยไปหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากทำเลที่ตั้งไม่ไกลจากท่าเรือปาฟอสมากนัก ห่างกันเพียง 2 กิโลเมตรทางทิศเหนือ การขุดสำรวจอย่างเป็นทางการครั้งแรกเริ่มขึ้นในปีค.ศ.1870 โดยสิ่งที่น่าสนใจของสุสานกษัตริย์ คือเป็นสุสานที่แกะสลักบนหินภูผาที่แข็งแกร่ง บางหลุมมีโครงสร้างเสาหินในแบบเสาโรมัน
      ดอริกที่เรียบง่าย มั่นคงแข็งแรง ทั้งปรากฎมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง(เฟรสโก้)วาดประดับอยู่ 
      นำท่านเข้าชม บ้านของไดโอนีซุส (House of Dionysos) หรือที่เรียกกันว่า วิลล่าโรมัน เป็นบ้านที่ตกแต่งด้วยโมเสกที่สวยงามและมีลวดลายวิจิตรตระการตาและมีการจัดวางองค์ประกอบของบ้านตามแบบบ้านโรมันในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 2 ชื่อบ้านหลังนี้ถูกตั้งขึ้นตามชื่อเทพเจ้ากรีกนามว่า “ไดโอนีซุส (Dionysus)” หรือ “เทพเจ้าแห่งไวน์” ซึ่งชาวกรีกและโรมันนับถือให้เป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์และเกษตรมั่งคั่ง 
      หากมีเวลาพอ นำท่านชมวิลล่าโรมันของ House of Aion และ House of Theseus ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
      นำชม โบสถ์เอเจียปาราสเกวี (Church of Agia Paraskevi) เป็นหนึ่งในโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่ของไซปรัสที่สร้างขึ้นในรูปแบบของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอยู่ที่จิตรกรรมฝาผนัง โดย เฉพาะภาพไม้กางเขนสีแดงเป็นการลงสีบนหินโดยตรง ถือเป็นภาพที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในไซปรัสย้อนกลับไปยุคต้นของคริสตกาล ครั้นได้เวลาพอสมควร นำคณะเดินทางกลับสู่เมืองลีมาซอล

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Mediterranean Beach Hotel 4*, Limassol หรือเทียบเท่า
  • Day 5
    ลีมาซอล - หมู่บ้านโอโมโดส - ยอดเขาโอลิมปัส - อารามคิคคอส - นิโคเซีย
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสู่ หมู่บ้านโอโมโดส (Omodos Village) เป็นหมู่บ้านผลิตไวน์แบบโฮมเมดในเขตเทือกเขาทรูดอส หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในระดับความสูง 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีทางเดินในหมู่บ้านปูด้วยแผ่นหินกาบและก้อนหินปุ่มตามทาง ท่านสามารถเดินชมบ้านเรือนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ดูคลาสสิก ซึ่งมีบางส่วนถูกแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ย่อมๆและเป็นร้านรวงขายของจำพวกงานศิลปหัตถกรรมต่างๆ อาทิ เครื่องเงิน เครื่องแก้ว งานเย็บปักถักร้อยลูกไม้ ขนมหวานและขนมเพรสเซลที่ขึ้นชื่อ สิ่งสำคัญที่เป็นไฮไลท์ของหมู่บ้านแห่งนี้คือ โบสถ์ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (Timios Stavros Monastery) 
      นำท่านเข้าชม โบสถ์ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ เป็นโบสถ์คริสต์โบราณที่เก่าแก่ที่สุดของไซปรัส ที่เรียกได้ว่าเป็นมรดกอันทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมของไซปรัสเลยทีเดียว ตามตำนานท้องถิ่นเล่าไว้ว่า โบสถ์แห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาอยู่แล้วก่อนที่นักบุญเฮเลน (St. Helen) พระนางเป็นผู้ค้นพบไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซูจริงที่เยรูซาเล็ม ได้แวะพักหลบพายุฝนที่เกาะไซปรัสในปีค.ศ.327 โดยนักบุญเฮเลนได้นำบางส่วนของเชือกมัดและไม้กางเขนแท้ศักดิ์สิทธิ์ (True Cross) มาเก็บรักษาไว้ที่โบสถ์นี้ ซึ่งเป็นเชือกที่ชาวโรมันใช้ผูกพระเยซูติดกับไม้กางเขน โดยกล่าวว่าเชือกมีสีแดงเนื่องจากเปื้อนพระโลหิตของพระเยซู มีอีกเรื่องเล่าหนึ่งของ True Cross คือในช่วงที่พบกางเขนแท้นี้ก็ได้เกิดอัศจรรย์ขึ้น เมื่อมีสตรีป่วยหนักมาหยุดพักอยู่ที่ใต้เงาของกางเขนแท้ สตรีผู้นั้นก็หายป่วยในทันที จากเรื่องราวปาฏิหาริย์ของไม้กางเขนแท้นี้ จึงทำให้โบสถ์แห่งนี้มีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คน และโบสถ์แห่งนี้ก็ถูกพัฒนาขยายเพิ่มเติมใหญ่ตามกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน อิสระให้ท่านได้เดินเที่ยวชมอย่างจุใจ 
      ออกเดินทางต่อสู่บริเวณ ภูเขาทรูดอส (Troodos Mountains) เป็นเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไซปรัส ตั้งอยู่ในใจกลางซีกตะวันตก มุ่งสู่ ยอดเขาโอลิมปัส (Mount Olympus) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ยอดเขาคอยนิสตร้า (Mount Chionistra) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของไซปรัส ณ ระดับความสูง 1,952 เมตร บริเวณยอดเขาโอลิมปัสนั้นเป็นสถานที่เล่นสกียอดนิยม นอกจาก นี้พื้นที่ในหุบเขาของเทือกเขาทรูดอสมีหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขาตามภูมิประเทศที่เป็นแบบขั้น บันได อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์และอารามในยุคไบแซนไทน์หลายแห่ง จึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นศูนย์กลางของศิลปะไบแซนไทน์ เนื่องจากโบสถ์และอารามถูกสร้างขึ้นในเขตภูเขาห่างจากชายฝั่งที่ถูกคุกคามได้ง่าย ในสมัยโบราณที่นี่เป็นสถานที่มีชื่อเสียงในเรื่องการทำเหมืองแร่มาเป็นเวลาหลายศตวรรษ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ซึ่งส่งขายให้กับเมืองต่างๆโดยรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย เดินทางต่อสู่ หมู่บ้านคาโลปานายีโอทิส (Kalopanayiotis Village) หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใจกลางของหุบเขามาราธาสา (Marathasa Valley) ซึ่งโอบล้อมด้วยเนินเขาและพืชพันธุ์ธรรมชาติที่เขียวชอุ่ม ลักษณะโดดเด่นของหมู่บ้านโบราณแห่งนี้คือ มีบ้านเรือนและอาคารสถาปัตยกรรมแบบโบราณ มีแหล่งน้ำพุร้อนที่เชื่อว่าใช้บำบัดรักษาโรคได้มาแต่ครั้งอดีตกาล มีลำน้ำใสไหลผ่านและมีกังหันน้ำที่ยังคงใช้งานอยู่ ในบริเวณแถบเทือกเขาทรูดอสนี้มีวิหารและโบสถ์ยุคไบแซนไทน์กระจายตัวอยู่หลายแห่ง แต่มีโบสถ์เพียง 9 แห่งเท่านั้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1985 เพราะพบว่ายังคงมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนสีที่ใช้ศิลปะรูปแบบไบแซนไทน์ แต่โบสถ์ที่มีชื่อเสียงมากสุดคือ อารามนักบุญจอห์น แลมปาดิสติส นั่นเอง  
      นำท่านชม อารามของนักบุญจอห์น แลมปาดิสติส (Monastery of St. John Lampadistis) อารามนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเซทราชอส (Setrachos River) แต่เริ่มมีการวาดจิตรกรรมฝาผนังครั้งแรกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 และต่อมามีการเขียนสีวาดทับลงอีกครั้งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13-15 ที่สำคัญคือ ภายในอารามแห่งนี้ได้มีการเก็บอัฐิธาตุของนักบุญจอห์นไว้ที่นี่ จึงมีศาสนิกชนเดินทางมาสักการะบูชาจากทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีการอนุรักษ์ภาพวาดเฟรสโก้ที่แสดงเรื่องราวที่ปรากฏในพระคัมภีร์เดิม อาทิเช่น ภาพพระเยซูคริสต์เสด็จเข้าเมืองเยรูซาเล็ม ภาพพระเยซูถูกตรึงกางเขน ภาพพระคริสต์ผู้ทรงสรรพานุภาพ (Christ Pantocrator) และภาพพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะภาพไอคอนต่างๆและประตูไม้แกะสลักนั้น เป็นผลงานศิลปะไบแซนไทน์ที่ถูกถ่ายทอดไว้เป็นอย่างดีซึ่งทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และควรค่าแก่การเป็นมรดกโลกในประเทศไซปรัส 
      เดินทางต่อไปในเขตเทือกเขาทรูดอส เพื่อนำท่านชม พิพิธภัณฑ์คิคคอส (Kykkos Museum) ตั้งอยู่ภายใน อารามคิคคอส (Kykkos Monastery) ซึ่งเป็นอารามที่สร้างอุทิศให้กับพระแม่มารี หรือเรียกโดยคนท้องถิ่นว่า “Panagia” (The Virgin Mary) เป็นอารามที่ได้ชื่อว่ามีความสวย งามและหรูหราคราคร่ำร่ำรวยไปด้วยของประดับตกแต่งที่มีค่ามากที่สุดในเกาะไซปรัส ภายในอารามประดับด้วยไอคอนต่างๆ ที่สำคัญคือ ภาพไอคอนของนักบุญลูกา Agios Loukas, the Evangelist ซึ่งประดับห่อหุ้มด้วยเงินล้อมรอบด้วยกรอบที่ทำจากเปลือกหอยมุกและกระดองเต่า ตัวอารามตั้งอยู่บนยอดเขา ณ ระดับความสูง 1,318 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตั้งในพื้นที่ป่าทึบแน่นหนาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาทรูดอส พิพิธภัณฑ์คิคคอสเป็นพื้นที่ส่วนที่สำคัญสุดของอารามแห่งนี้ เนื่องจากมีการเก็บรักษาของโบราณ ไอคอน พระคัมภีร์ และของใช้ในพิธีทางศาสนาที่ล้ำค่า เช่น งานแกะสลักไม้ เสื้อคลุม และงานปักที่เป็นประวัติศาสตร์ของอารามแห่งนี้
      แล้วเดินทางต่อไปยัง เมืองนิโคเซีย (Nicosia) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของไซปรัส เป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้า การเงินและการปกครอง ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไซปรัส ตรงบริเวณที่ราบเมสาโอเรีย (Mesaoria Plain) ริมฝั่งแม่น้ำเพเดียออส (River Pedieos) จาก  เหตุการณ์ความขัดแย้งในเชื้อชาติอย่างรุน แรงในช่วงปี ค.ศ.1963-1964 เมืองนิโคเซียจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเช่นเดียวกับเกาะไซปรัส โดยทางใต้ของไซปรัส เป็นดินแดนของชาวไซปรัสเชื้อสายกรีก ส่วนทางเหนือเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลไซปรัสเหนือ ซึ่งเป็นดินแดนของชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกี

      เย็น รับประทานอาหารเย็น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Hilton Hotel 5*, Nicosia หรือเทียบเท่า
  • Day 6
    นิโคเซีย - เมืองไคเรเนีย - นิโคเซีย
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางสู่ เมืองไคเรเนีย (Kyrenia) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของไซปรัส เป็นเมืองชายฝั่งทะเลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 6,000 ปี ซึ่งมีท่าเรือที่เรียงรายไปด้วยเหล่าเรือยอชท์และเรือประมง โดยมีเทือกเขาเบสพาร์มัคสลับกับภูเขาน้อยใหญ่เป็นฉากหลังของเมืองแห่งนี้ ที่นี่จึงเป็นเมืองที่มีทัศนียภาพอันงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไซปรัส
      < นิโคเซีย - ไคเรเนีย มีระยะทางราว 30 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที >
        นำท่านชม ปราสาทไคเรเนีย (Kyrenia Castle) เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เรืออับปางของไซปรัสเหนือ ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ทางทะเลที่สำคัญและได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ปราสาทไคเรเนียเป็นปราสาทเก่าแก่ย้อนกลับไปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 เป็นป้อมปราการป้องกันเมืองจากการรุกรานคุกคามของพวกอาหรับทางทะเล เวลาต่อมาป้อมปราการได้มีการก่อสร้างขยายเพิ่มเติมให้แข็งแกร่งขึ้นตามกาลเวลาในช่วงตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12-16 แต่อย่างไรก็ดีในช่วงค.ศ.1570 ชาวไคเรเนียยอมสวามิภักดิ์ต่อจักรวรรดิ์ออตโตมันที่เข้ามารุกราน ปราสาทจึงได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ไปตามยุคแห่งการปกครองกระทั่งถึงยุคที่พวกอังกฤษเข้ามาครอบครองก็ได้เปลี่ยนปราสาทหลังนี้ให้เป็นค่ายฝึกทหารแทนและเคยถูกใช้เป็นที่คุก ปราสาทไคเรเนียยังคงอนุรักษ์สะพานชักดั้งเดิมที่ทางเข้าประตูปราสาทให้คงอยู่ในสภาพดีถึงปัจจุบัน
      นำท่านชม พิพิธภัณฑ์เรืออัปปาง (Ancient Shipwerck Museum) เป็นซากเรือสินค้าของพ่อค้าชาวกรีกเมื่อช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล ถูกค้นพบโดย นายแอนเดรียส คาริโอเลา (Andreas Cariolou) ครูผู้สอนการดำน้ำชาวไซปรัสกรีกในเดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ.1965 ร่วมกับนายกัสเซฟ(Katzev) ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันโบราณคดีทางทะเล การค้นหาถูกครอบคลุมอย่างกว้างขวาง มีการบันทึกเป็นสารคดีโดย บีบีซี ซากเรือสินค้าที่ถูกค้นพบลำนั้นได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สภาพของเรือประมาณกว่า 75% ของเรืออยู่ในสภาพดี จึงได้นำเรือดังกล่าวมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่บริเวณตัวปราสาท และตั้งชื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่างเป็นทางการว่า Ancient Shipwreck Museum ในปราสาทไคเรเนีย
       
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      ได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางต่อไปยัง บูยุก ฮัน (Buyuk Han) 
      < ไคเรเนีย - บูยุก ฮัน มีระยะทางราว 25 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที >
      บูยุก ฮัน (Buyuk Han) หรือแปลว่า Great Inn ในภาษาอังกฤษ เป็นโรงแรมโบราณเก่าแก่อายุกว่า 428 ปี บรรยากาศที่นี่จะเหมือนอยู่ในเมืองโบราณย้อนยุค เป็นอาคารสองชั้นซึ่งถูกแบ่งเป็นห้องหับ ท่านสามารถเดินขึ้นชมบรรยากาศช้ันบนของอาคารเพื่อสัมผัสกลิ่นอายของคาราวานเซอรายที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะไซปรัส เพราะที่นี่เคยเป็นที่พักนักเดินทางและพ่อค้ากับกองคาราวาน ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งบนเกาะไซปรัส ถูกสร้างขึ้นโดยชาวออตโตมันในปีค.ศ.1572 ซึ่งเป็นปีที่พวกเขายึดครองไซปรัสมาจากชาวเวเนเซียนได้ เมื่อครั้งในช่วงอังกฤษปกครอง ที่นี่ถูกเปลี่ยนเป็นคุกแห่งแรกของเมือง 
      ตั้งแต่ปีค.ศ.1990 เป็นต้นมา ที่นี่ถูกดัดแปลงเป็นศูนย์กลางจัดแสดงงานศิลปะ โดยมี แกลลอรี่ศิลปะหลายแห่ง หลายจุดมีร้านกาแฟ และร้านขายของที่ระลึกมากมาย อิสระให้ท่านได้เดินเล่นถ่ายรูปโดยรอบ 
            เดินทางเข้าสู่ เมืองนิโคเซีย ฝั่งกรีก อิสระให้ท่านได้เดินเล่นตามอัธยาศัยในย่านเมืองเก่า แถบบริเวณถนนคนเดิน Ledra Street ซึ่งเป็นถนนแห่งการช้อปปิ้งของนิโคเซีย

      เย็น รับประทานอาหารเย็น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Hilton Hotel 5*, Nicosia หรือเทียบเท่า
  • Day 7
    นิโคเซีย - ลาร์นากา
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านเที่ยวชมเมืองนิโคเซีย ชม มหาวิหารเซนต์จอห์น (St. John’s Cathedral) สร้างขึ้นโดยอาร์คบิชอป นิกิโฟรอส (Archbishop Nikiforos) ในปีค.ศ.1662 แม้มหาวิหารนี้จะมีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับมหาวิหารอื่นๆ ในนิโคเซีย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นมหาวิหารหลวงแห่งเมืองนิโคเซีย เป็นมหาวิหารที่มีความงดงาม ไม่ว่าจะเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดบนกำแพงภายในมหาวิหารยังคงความสมบูรณ์ดั้งเดิม รวมไปถึงบัลลังก์ที่ประทับของอาร์คบิชอปที่มีความหรูหราอลังการ บนบัลลังก์มีรูปนกอินทรี 2 หัว ประดับอยู่อย่างสง่างาม ซึ่งท่านประธานาธิบดีของไซปรัสและเอกอัครราชทูตประจำประเทศกรีซเคยเยือนที่นี่ นอกจากนี้การสวมมงกุฎแต่งตั้งอาร์คบิชอปองค์ใหม่ถูกจัดพิธีขึ้นที่มหาวิหารแห่งนี้ 
      ต่อด้วยนำท่านชม พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งไซปรัส (Cyprus Archaeological Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ทางด้านโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดของเกาะไซปรัส สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1882 คือแหล่งเก็บรวบรวมบรรดาโบราณวัตถุของไซปรัสอย่างเป็นหมวดหมู่ดียอดเยี่ยมและอลังการเป็นที่ประจักษ์ต่อชาวโลก โดยได้จัดแสดงวัตถุโบราณต่างๆที่ถูกค้นพบบนเกาะไซปรัสทั้งหมด เดิมทีตอนแรกตั้งพิพิธภัณฑ์เป็นทุนสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปและใช้อาคารของรัฐบาลในการจัดแสดงชั่วคราว ต่อมาปีค.ศ.1908 ได้เริ่มก่อสร้างพิพิธภัณฑ์หลังปัจจุบันในที่สุด ถึงแม้ว่าในอดีตสิ่งของโบราณล้ำค่าจะถูกขโมยออกไปเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่การเก็บรวบรวมโบราณวัตถุจากการขุดค้นพบเจอในเวลาต่อๆมาก็มีมากพอสมควร ปัจจุบันภายในพิพิธภัณฑ์นี้ถูกแบ่งเป็นห้องโถงนิทรรศการ 14 ห้อง โดยจัดแสดงตามลำดับช่วงสมัยในยุคต่างๆ ไล่จากยุคหินใหม่จนถึงยุคโรมันเอาไว้อย่างน่าศึกษา  ได้เวลาพอสมควร เดินทางไปยัง พิพิธภัณฑ์ไบเซนไทน์ ที่อยู่ไม่ไกลกันนักเพียง 2 กิโลเมตร   
      นำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์ไบเซนไทน์ (Byzantine Museum) สถานที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุทางศาสนาที่ล้ำค่าที่สุดของไซปรัส ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองเก่า ภายในจัดแสดงคอลเล็กชั่นงานศิลปะยุคไบแซนไทน์ซึ่งมีภาพไอคอนมากถึง 230 ชิ้นซึ่งมีความเก่าแก่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9-19 รวมถึงวัตถุโบราณอื่นอันทรงคุณค่า อาทิเช่น จอกศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีกรรม เสื้อคลุมนักบวช และคัมภีร์สำคัญทางศาสนา เป็นต้น ภาพไอคอนส่วนใหญ่นั้นถูกเก็บรวบรวมมาจากช่วงคริสต์ ศตวรรษที่ 12 เป็นจำนวนมากที่สุดในบรรดาวัตถุที่จัดแสดงทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญที่สุดและมีชื่อ เสียงมากที่สุดคือ กระเบื้องโมเสคในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 6 ที่ถูกลักลอบขโมยออกจากโบสถ์เก่ากานากาเรีย (Kanakaria Church) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ถูกตุรกีครอบครองและถูกขายออกไปยังต่างประเทศแต่ในที่สุดก็ได้ถูกส่งกลับมายังไซปรัส

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      นำท่านผ่านชม กำแพงเมืองเวนิส (The Venetian Walls) เป็นกำแพงป้องกันซึ่งสร้างล้อมรอบเมืองหลวงเก่าของนิโคเซียในไซปรัส กำแพงเมืองแรกครั้งแรกเริ่มสร้างขึ้นในช่วงยุคกลาง แต่มาถูกสร้างใหม่ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยสาธารณรัฐเวนิสในเวลานั้น ปัจจุบันตัวกำแพงยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์อยู่มาก และจัดเป็นหนึ่งในป้อมปราการแห่งยุคเรอเนซองส์ที่มีสภาพดีสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก 
      นำท่านแวะชม ประตูฟามากุสต้า (Famagusta Gate) หรือมีชื่อเดิมว่า “Porta Giuliana” ประตูกำแพงเมืองเก่านิโคเซีย ถือเป็นประตูหลักของกำแพงเมืองเก่าแห่งนี้ รูปแบบการก่อสร้างเป็นแบบสไตล์เวเนเซียนที่มีชื่อเสียง ออกแบบโดย Michael Sammicheli ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เช่นกันกับตัวกำแพงเมือง
      < นิโคเซีย - ลาร์นากา มีระยะทางราว 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 15 นาที >
      ได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางต่อไปยัง เมืองลาร์นากา (Lanaca) เมืองใหญ่เป็นอันดับสาม รองจากเมืองนิโคเซียและเมืองลีมาซอล เป็นเมืองท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของไซปรัส

      เย็น รับประทานอาหารเย็น
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Lordos Beach Hotel & Spa 4*, Larnaca หรือเทียบเท่า
  • Day 8
    ลาร์นากา - ดูไบ
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      เมืองลาร์นากา ถือว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของไซปรัส มีประวัติยาวนานถึง 6,000 ปี เราจึงสามารถพบเห็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมจากอาคารร้านค้าต่างๆ แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ ตลอดจนโบสถ์หรือศาสนสถานที่สำคัญอันเก่าแก่ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นถึงอดีตอันรุ่งเรืองของเมืองลาร์นากา
      นำท่านชม ท่อส่งน้ำคามาเรส (Kamares Aqueduct) ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองลาร์นากา ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1747-1750 โดยได้เงินทุนการก่อสร้างจาก Ebu bekir Pasha ซึ่งเป็นผู้ ปกครองออตโตมันแห่งเมืองลาร์นากาในสมัยนั้น ท่อส่งน้ำแห่งนี้ถูกใช้มาเกือบสองร้อยปีจนถึงปี ค.ศ.1939 โครงสร้างเดิมที่สมบูรณ์ต้องมี 75 ซุ้มโค้งแต่ปัจจุบันคงเหลือให้เห็นเพียง 20 ซุ้มโค้งเท่านั้น นี่คือผลงานสำคัญทางสถาปัตยกรรมก่อสร้างแบบออตโตมันที่สวยงามทรงคุณค่าแห่งหนึ่งในไซปรัส 
      เดินทางต่อ นำท่านชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งของเกาะไซปรัส คือ ฮาลา สุลต่าน เทกเก (Hala Sultan Tekke) หรือ มัสยิดอุม ฮาราม (Mosque of Umm Haram) ที่ตั้งอยู่ในบริเวณริมฝั่งทะเลสาบเกลือลาร์นากา ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 648 ในบริเวณที่อุม ฮารามเสียชีวิตจากการตกล่อตายในช่วงการจู่โจมของพวกอาหรับครั้งแรกในเกาะไซปรัส นางอุม ฮารามเป็นญาติของท่านนบีมูฮัมหมัด (ศาสดาของศาสนาอิสลาม) กาหลิบมัวเวียจึงได้สั่งให้สร้างมัสยิดขึ้นมาที่นี่ ทุกวันนี้มัสยิดแห่งนี้ถือเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม นอกเหนือจากนครเมกกะ มัสยิดนี้ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ถึง 2 คราในช่วงปีค.ศ.1816 และ 2002 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เอกลักษณ์โดดเด่นของเมืองลาร์นากา หากท่านโชคดีอาจได้เห็นนกฟลามิงโก้สีชมพูในบริเวณทะเลสาบเกลือด้วย
      นำท่านเยี่ยมชม โบสถ์เซนต์ลาซารัส (St. Lazarus Church) สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 เพื่ออุทิศถวายเป็นเกียรติให้แก่นักบุญลาซารัส สาวกของพระเยซูผู้มาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่นี่เป็นเวลาร่วม 30 ปีหลังจากท่านได้รับการฟื้นคืนชีพโดยพระเยซู เชื่อกันว่าโบสถ์หลังนี้ได้ถูกสร้างขึ้นบนหลุมฝังศพว่างเปล่าของนัก บุญท่านนี้ เพราะร่างจริงของท่านถูกฝังไว้ที่ฝรั่งเศส 8 วันก่อนถึงวันอีสเตอร์ ภาพไอคอนเซนต์ลาซารัสจะถูกแห่ขบวนเคลื่อนไปตามท้องถนนในเมืองลาร์นากา เพราะท่านถูกยกย่องให้เป็นนักบุญประจำเมืองลาร์นากา

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย ต่อจากนั้น พาท่านเดินเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองลาร์นากาโดยรอบๆ อันได้แก่ ปราสาทลาร์นากา (Larnaca Castle) เป็นป้อมปราการเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยพวกไบแซนไทน์ ต่อมาในช่วงปีค.ศ.1382-1398 กษัตริย์เจมส์ที่ 1 แห่งไซปรัสได้ทำการขยายป้อมปราการให้ใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้นดั่งเห็นในสภาพปัจจุบัน เพื่อใช้ป้องกันชายฝั่งทะเลตอนใต้ของไซปรัสและป้องกันท่าเรือริมทะเลโดยมีปืนใหญ่ติดตั้งอยู่ภายในป้อมปราการแห่งนี้ ปัจจุบันป้อมปราการนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ส่วนลานสนามกลางแจ้งถูกใช้เป็นโรงมหรสพแบบเปิดโล่งที่จุผู้คนเข้าร่วมได้ถึง 200 คน
      อิสระให้ท่านเดินเล่นชม ย่านเมืองเก่า (Old Town) ที่ถือเป็นใจกลางเมืองลาร์นากา สัมผัสวัฒนธรรมและวิถีความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่น ท่านสามารถเดินชมร้านค้าต่างๆ ช้อปปิ้งสินค้าของฝากขึ้นชื่ออย่างฟองน้ำทะเล และของที่ระลึกอื่นๆ รวมทั้งมีร้านกาแฟและร้านอาหารมากมายในบริเวณ Old Turkish Quarter หรือที่เรียกว่า Skala หรือท่านจะแวะนั่งจิบกาแฟในบรรยากาศเมืองเก่าริมทะเล หรือเดินเล่นไปถ่ายรูปแถบ Europe Square ตามอัธยาศัย 

      16.20 น. เดินทางสู่สนามบินนานาชาติลาร์นากา เตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ กลับสู่ประเทศไทย

      19.20 น. เหินฟ้าสู่ ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เที่ยวบิน EK110 LCA-DXB (19.20-01.00) (ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง 40 นาที)
  • Day 9
    ดูไบ - กรุงเทพฯ
    • 01.00 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติดูไบ รอเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไปยัง กรุงเทพฯ 

      03.35 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย เที่ยวบิน EK376 DXB-BKK (03.35-12.45)
      (ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 10 นาที)

      12.45 น. เดินทางมาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ
Top